ผู้พิชิตห้าตำหนัก
ห้าตำหนักในที่นี้ หมายถึง
ตำหนักในพระราชวังสนามจันทร์
ได้แก่
1.
พระที่นั่งพิมานปฐม
2.
เรือนพระธเนศวร
3.
พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์
4.
พระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์
5.
พระตำหนักทับขวัญ
(เรียงตามลำดับการเดิน เวียนซ้าย)
วันนี้ (9/1/2559) มีโอกาสได้ไปเข้าเยี่ยมชมพระราชวังสนามจันทร์ เพราะมีเวลาว่างมาก
และวังอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย วันนี้เป็นวันเด็กแห่งชาติด้วย
ภายในวังจึงมีการจัดงานวันเด็ก คนทั่วไปสามารถเข้าชมได้เลย โดยไม่ต้องเสียค่าเข้า
ปกติก็เข้าได้เลย ส่วนมากจะเข้าไปวิ่งกัน เพราะเป็นลานกว้าง กลมๆ ช่วงเย็นๆ
คนยิ่งเยอะ รักสุขภาพก็เงี้ย
แต่ถ้าจะเข้าชมพระตำหนัก
(อันนี้น่าจะเข้าชมได้แค่ตอนกลางวันมั้ง ปกติมากลางคืนไม่เคยเห็นที่จำหน่ายตั๋ว)
ค่าเข้าชมจะแบ่งเป็น 3 ส่วน
1.
ชาวต่างชาติ 50 บาท (ไม่แน่ใจ เพราะลืม)
2.
ผู้ใหญ่ 30 บาท
3.
นักเรียน,นักศึกษา,แม่ชี 10บาท (ไม่แน่ใจว่ารวมเด็กเล็กด้วยหรือเปล่า อาจจะเข้าฟรี ไม่ทันดู)
- มีรถกอล์ฟให้เช่าด้วย ชั่วโมงละ 300 บาท
เราไปกับเพื่อนอีกคนนึง
การแต่งกาย
1. กางเกงขาสั้นห้ามเด็ดขาด
2.
กางเกงยีนขายาวแต่มีรอยขาดแบบเท่ๆ ก็ไม่ได้
(อันนี้ก็งงเหมือนกัน แต่เพื่อนบอกว่า เพราะมันไม่สุภาพ) ถ้าจะเข้า จะมีผ้าป้าย
(ลักษณะเหมือนผ้าถุง สีพื้นทั่วไป วันนี้ที่เห็นเป็นสีฟ้า) ซื้อเลยนะไม่ใช่แบบเช่า
เอากลับบ้านได้เลย ราคา70บาท ให้ใส่เข้าไป
3. เสื้อแขนกุดห้าม จะเข้าได้เมื่อมีผ้าคลุมไหล่เท่านั้น
เมื่อได้บัตรเข้าชม
พร้อมแต่งกายสุภาพแล้ว ก็เข้าชมกันเลยยย...........
บอกก่อนนะ
ว่าไม่มีรูปภาพประกอบ เขาห้ามถ่ายภาพด้านใน ด้านนอกสามารถถ่ายได้
แต่ก็ไม่ได้ถ่ายอยู่ดี
- พระที่นั่งพิมานปฐม
พระที่นั่งนี้จะเป้นพระที่นั่งแรกที่จะได้เข้าเยี่ยมชม
ถ้าเดินมาทางซ้ายนะ ถ้าไม่รู้ว่าจะเข้าทางไหน ก็เดินถามพี่ยามเลย
แล้วพี่ยามก็จะบอกว่า "เห็นป้ายทางเข้าไหมครับ เข้าทางนั้นแหละครับ"
/ค่ะ ขอบคุณมากจริงๆ
ตอนแรกๆ ที่เดินเข้าวังมา
ก็งงๆ ว่าทำไมไม่มีคนพาเดินเลยนะ ไม่ใช่ทัศนศึกษานี่นา5555 ก้เดินดุ่มๆ ไปกับเพื่อนเลย
เมื่อเดินผ่านป้ายทางเข้ามา ก็จะมีพี่เจ้าหน้าที่
ที่แต่งตัวเนี๊ยบมาก แต่งแบบข้าราชการเลย พูดจาดี ยืนต้อนรับอยู่ บอกว่า
"ขอบัตรเข้าชมด้วยครับ"เขาจะปั๊มชื่อสถานที่ให้ แล้วก็มีตู้ล็อกเกอร์ให้เก็บของ
เอาไปได้แค่กุญแจล็อคตู้เท่านั้น ร่ม โทรศัพท์ น้ำดื่มยัดลงตู้ให้หมด
ถอดรองเท้าก่อนเข้าด้วย
มันจะมีรอบบรรยายด้วยนะ มีทุกๆ 15นาที เริ่มตั้งแต่ 9.00 น. เรากับเพื่อนมาตอนเที่ยงพอดี เขาบอกโอเคครับ รอท่านอื่นๆ ก่อนนะครับ
(นี่เป็นพระที่นั่งเดียวที่มีคนเดินนำชมพร้อมบรรยายความรู้)
ที่ตรงนี้เป็นพระที่นั่งที่รัชกาลที่ ๖ เคยประทับอยู่จริง วัสดุ ข้าวของเครื่องใช้
ในที่นี้จึงจริงทุกอย่าง อาจจะมีบางอย่างที่ทำขึ้นมาใหม่ เช่นเปียโน
แต่ส่วนมากก็เป็นของจริงๆ หมดเลย เรากับเพื่อนไม่เคยมาที่นี้มาก่อน
ก็เลยตื่นตาตื่นใจกับข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ มีห้องสรง (ห้องน้ำ) ห้องบรรทม
ที่มีเตียงอยู่จริงๆ บางห้องก็ไม่สามารถให้เข้าเยี่ยมได้
มีห้องอาหารห้องหนึ่งที่เบาะเก้าอี้ตัวหนึ่ง จะใช้หนังท้องจระเข้ถึง ๒ ตัว /โห
แล้วในห้องอาหารนั้นก็มีเก้าอี้สิบตัวเลยทีเดียว เขาบอกว่ามีคนทูลกระหม่อมถวาย
จระเข้นี้มาจากฟาร์มที่สมุทรปราการ
จะมีห้องๆ หนึ่ง เป็นห้องไฮไลท์ของที่นี้เลยก็ว่าได้
(คิดเอาเองว่ามันน่าจะเป็นไฮไลท์นะ)
เป็นห้องนั่งเล่นที่พอมองออกไปนอกระเบียงจะเห็นเทวาลัยเคณสร์
และองค์พระปฐมเจดีย์อยู่ในระนาบเดียวกัน อย่างกะภาพวาดเลย
แถมต้นไม้ก็ยังแยกช่องทางให้มองเห็นองค์พระฯ ด้วย
เขาต้องจัดการผังวังมาอย่างดีแน่นอน แต่น่าเสียดายระเบียงนั้น เขากั้นไว้
ไม่ให้เดินเข้าไป แต่มองจากข้างในก็เห็น สวยมากๆ
- เรือนพระธเนศวร
ที่นี้จะเป็นที่ที่ทุกคนจะพลาดมาก เพราะมันอยู่ไกลพอสมควร
ต้องข้ามสะพานมา เรือนพระธเนศวรนี้จะเป็นเรือนพักสำหรับผู้พิพากษา เป็นเรือน ๑
ชั้น มีห้องใต้หลังคาที่เป็นห้องพระ (ชั้นใต้หลังคาขึ้นไม่ได้) มีสะพานเชื่อมยาว
(ไม่ใช่สะพานแรกที่เดินมานะ)ไปถึงศาลาแปดเหลี่ยมด้วย
รูปทรงเหมือนศาลาแปดเหลี่ยนในมอ มองออกนอกศาลาก็เห็นตุ๊ดตู่นอนอาบแดดอยู่ ๑
ตัวถ้วน ข้างๆ ก็มีสระน้ำที่มี ห่านหรือเป็ดตัวขาวๆ แหวกว่ายเป็นคู่ หวานแหววมาก
และก็มีชุมชุนห่านหรือเป็ดตัวขาวๆ ตั้งรกรากอยู่ ศาลานี้ก็ลมพัดเย็นสบายเช่นเคย
มีเก้าอี้รูทรงแปลก ที่มีที่นั่งและพนักพิงหลัง ที่เหมือนกับราวจับบันไดมากกว่า
- พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์
พระตำหนักนี้เป็นตึกสีแดง มีอนุสาวรีย์ย่าเหลอยู่ข้างหน้าทางเข้า
การเข้าชมจะไม่มีตู้ให้ฝากของ แต่จะมีถุงสำหรับใส่รองเท้า!? ถุงนี่ให้คืนที่ทางออก (ตอนแรกเอาขวดน้ำใส่
พี่เจ้าหน้าที่บอกไม่ใช่ค่ะ) เป็นตึก ๒ ชั้น ลมเย็น ห้ามถ่ายรูปเช่นเคย มีช่องลม
(หรือเปล่าไม่แน่ใจ เป็นเสาแล้วโปร่งขึ้นไปถึงเพดาน) มีทางที่เหมือนจะพาไปตึกต่อไป
แต่ดันเป็นทางตัน
----------------------------------------------------------สะพานเชื่อม------------------------------------------------
- พระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์
ตรงนี้จะเป็นพื้นไม้ ที่ถ้าเกิดเดินเสียงดัง จะสะเทือนไปถึงชั้นล่าง
ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่าสะเทือนแค่ไหน พอลงมาชั้นล่างปุ๊บ
แล้วชั้นบนเหลือครอบครัวหนึ่ง ที่มีเด็กเล็ก ด้วยวัยกำลังซน ส้านเท้ามีแรงมาก
เลยเดินกันอย่างวุ่นวาย แสงสะเทือนดังมาถึงข้างล่าง ได้แต่บ่นในใจ เด็กหนอเด็ก////
พอลงมาถึงชั้นล่างพี่เจ้าหน้าที่ก็ปั๊มชื่อให้
แล้วขอดูป้ายพวกเรา เขาบอก "โห จะครบห้าตำหนักแล้ว ปกติเขาเดินกันแค่ ๒ ที่
พวกหนูนี่เก่งมาก เดินจนจะครบเลย" ฟังคำพี่เจ้าหน้าที่เสร็จ
ก็รู้สึกว่าตัวเองคือผู้ชนะอะไรทำนองนั้น คือSurvivor พวกข้าคือผู้พิชิตอะ
/ยืดอกอย่างภาคภูมิใจ
ฟังแล้วก็ฮึด
เดินต่อไปแบบไม่เหนื่อย (หึหึ เหนื่อยมาก เถอะ ปวดเท้าละ)
- พระตำหนักทับขวัญ
มาถึงตำหนักสุดท้ายกันแล้ว เป็นเรือนไทยโบราณ มีคู้ฝากของ ถอดรองเท้า
เอาขึ้นได้เฉพาะกุญแจตู้ ทุกอย่างเหมือนบ้านเรือนไทยในละครช่อง7 ตอนเช้าอะ พี่เจ้าหน้าที่บอกเรือนนี้ถ่ายหนังล่าสุดคือ เรื่องสุริโยไท ซึ่งมันก็ตั้งแต่ปี2544อะ นานมากแล้ว
บนเรือยมีต้นจันอยู่ตรงกลาง พอเห็นต้นจัน เพลงกลิ่นจันก็ลอยมาตามสายลม
สักพักก็มีเสียงออดรักษาความปลอดภัยดึงขึ้น ขอบอกว่าเสียงดังและนานมาก
มองลงไปข้างล่างก็ไม่มีอะไร พี่เจ้าหน้าที่ก็เฉยๆ
เลยนั่งเล่นข้างบนก่อนกะให้มันหยุด แต่มันไม่หยุดสักที ก็เลยลงดีกว่า
พูดกันกับเพื่อนว่า "ถ้าเราลงและมันหยุดร้องนะ หื้มม"
สรุปว่าพอพวกเราลงถึงข้างล่างปุ๊บ มันก็หยุดร้องเลย
สงสัยเขาอยากให้เรารีบลงมาสักที5555 พี่เจ้าหน้าที่บอกว่าก็เป็นแบบนี้แหละครับ แต่หนูตกใจนะคะ
ที่สุดท้ายสำหรับการเดินชมวังในวันนี้นั่นก็คือ พระตำหนักทับแก้ว
พระตำหนักทับแก้วเป็นอาคาร
๒ ชั้น เคยเป็นที่ประทับในช่วงฤดูหนาวของรัชกาลที่ ๖
อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของนักเลงฟุตบอลทีมชาติไทย
ภายในอาคารชั้นล่างจะจัดแสดงประวัติของฟุตบอลไทย ตั้งแต่สมัยเริ่มแรกจนถึงปัจจุบัน
แล้วก็มีพี่พนักงานคอยเก็บภาพประทับใจ (แสงแฟลชจากกล้องพี่พนักงานก็ช่างจ้าเสียเหลือเกิน
แสบตาหนูเชียวค่ะ) มีสมุดให้ติชมเสนอคำแนะนำเกี่ยวกับการจัดแสดง
และมีโซนจำหน่ายของที่ระลึกเกี่ยวกับฟุตบอลไทย
เรากับเพื่อนก็มองหานักบอลที่พอจะรู้จักบ้าง
ที่เห็นหน้าคุ้นก็คงจะเป็นโค้ชสิโก้นั่นแหละค่ะ สมัยหนุ่มๆ โค้ชก็หน้าตาดีเหมือนกันนะคะ
ชั้นบนมีเตาผิงของจริง
แต่โบกปูนเอาไว้ป้องกันความเสียหาย เตาผิงนี่มี 2 อันเลยนะคะ แสดงให้เห็นว่าสมัยก่อนต้องหนาวมากแน่ๆ
หนาวแค่ไหนไม่รู้ แต่มีเตาผิงไว้ใช้งาน ก็ต้องหนาวพอสมควรแหละเน้าะ
ไม่น่าเชื่อเลยว่าเมืองไทยจะหนาวอะ เพราะตอนนี้นี่ร้อนมากๆ เลย พี่พนักงานบอกว่า
"สมัยก่อนต้นไม้เยอะไง สมัยนี้มีแต่ตึก"
ก่อนจะกลับเราสองคนก้ยังได้ความรู้อีกว่า ทำไม? มหาวิทยาลัยศิลปากร
วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ถึงเรียกว่าทับแก้ว
คำตอบที่ได้จากพี่เจ้าหน้าที่ที่ตำหนักทับแก้วก็คือ
เพราะสมัยก่อนตึกแรกของมหาวิทยาศิลปากร
ตั้งอยู่ติดพระตำหนักทับแก้ว จึงเรียกกันว่ามหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตทับแก้ว
ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นวิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ อย่างเช่นในปัจจุบัน
ถือเป็นความรู้ใหม่สำหรับวันนี้ พี่เจ้าหน้าที่ยังฝากบอกมาอีกว่า
"เป็นเด็กศิลปากร ต้องมาพระตำหนักทับแก้วนะ"
ห้าตำหนักในที่นี้ หมายถึง
ตำหนักในพระราชวังสนามจันทร์
ได้แก่
1.
พระที่นั่งพิมานปฐม
2.
เรือนพระธเนศวร
3.
พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์
4.
พระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์
5.
พระตำหนักทับขวัญ
(เรียงตามลำดับการเดิน เวียนซ้าย)
วันนี้ (9/1/2559) มีโอกาสได้ไปเข้าเยี่ยมชมพระราชวังสนามจันทร์ เพราะมีเวลาว่างมาก
และวังอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย วันนี้เป็นวันเด็กแห่งชาติด้วย
ภายในวังจึงมีการจัดงานวันเด็ก คนทั่วไปสามารถเข้าชมได้เลย โดยไม่ต้องเสียค่าเข้า
ปกติก็เข้าได้เลย ส่วนมากจะเข้าไปวิ่งกัน เพราะเป็นลานกว้าง กลมๆ ช่วงเย็นๆ
คนยิ่งเยอะ รักสุขภาพก็เงี้ย
แต่ถ้าจะเข้าชมพระตำหนัก
(อันนี้น่าจะเข้าชมได้แค่ตอนกลางวันมั้ง ปกติมากลางคืนไม่เคยเห็นที่จำหน่ายตั๋ว)
ค่าเข้าชมจะแบ่งเป็น 3 ส่วน
1.
ชาวต่างชาติ 50 บาท (ไม่แน่ใจ เพราะลืม)
2.
ผู้ใหญ่ 30 บาท
3.
นักเรียน,นักศึกษา,แม่ชี 10บาท (ไม่แน่ใจว่ารวมเด็กเล็กด้วยหรือเปล่า อาจจะเข้าฟรี ไม่ทันดู)
เราไปกับเพื่อนอีกคนนึง
การแต่งกาย
1. กางเกงขาสั้นห้ามเด็ดขาด
2.
กางเกงยีนขายาวแต่มีรอยขาดแบบเท่ๆ ก็ไม่ได้
(อันนี้ก็งงเหมือนกัน แต่เพื่อนบอกว่า เพราะมันไม่สุภาพ) ถ้าจะเข้า จะมีผ้าป้าย
(ลักษณะเหมือนผ้าถุง สีพื้นทั่วไป วันนี้ที่เห็นเป็นสีฟ้า) ซื้อเลยนะไม่ใช่แบบเช่า
เอากลับบ้านได้เลย ราคา70บาท ให้ใส่เข้าไป
3. เสื้อแขนกุดห้าม จะเข้าได้เมื่อมีผ้าคลุมไหล่เท่านั้น
เมื่อได้บัตรเข้าชม
พร้อมแต่งกายสุภาพแล้ว ก็เข้าชมกันเลยยย...........
บอกก่อนนะ
ว่าไม่มีรูปภาพประกอบ เขาห้ามถ่ายภาพด้านใน ด้านนอกสามารถถ่ายได้
แต่ก็ไม่ได้ถ่ายอยู่ดี
พระที่นั่งนี้จะเป้นพระที่นั่งแรกที่จะได้เข้าเยี่ยมชม
ถ้าเดินมาทางซ้ายนะ ถ้าไม่รู้ว่าจะเข้าทางไหน ก็เดินถามพี่ยามเลย
แล้วพี่ยามก็จะบอกว่า "เห็นป้ายทางเข้าไหมครับ เข้าทางนั้นแหละครับ"
/ค่ะ ขอบคุณมากจริงๆ
ตอนแรกๆ ที่เดินเข้าวังมา
ก็งงๆ ว่าทำไมไม่มีคนพาเดินเลยนะ ไม่ใช่ทัศนศึกษานี่นา5555 ก้เดินดุ่มๆ ไปกับเพื่อนเลย
เมื่อเดินผ่านป้ายทางเข้ามา ก็จะมีพี่เจ้าหน้าที่
ที่แต่งตัวเนี๊ยบมาก แต่งแบบข้าราชการเลย พูดจาดี ยืนต้อนรับอยู่ บอกว่า
"ขอบัตรเข้าชมด้วยครับ"เขาจะปั๊มชื่อสถานที่ให้ แล้วก็มีตู้ล็อกเกอร์ให้เก็บของ
เอาไปได้แค่กุญแจล็อคตู้เท่านั้น ร่ม โทรศัพท์ น้ำดื่มยัดลงตู้ให้หมด
ถอดรองเท้าก่อนเข้าด้วย
มันจะมีรอบบรรยายด้วยนะ มีทุกๆ 15นาที เริ่มตั้งแต่ 9.00 น. เรากับเพื่อนมาตอนเที่ยงพอดี เขาบอกโอเคครับ รอท่านอื่นๆ ก่อนนะครับ
(นี่เป็นพระที่นั่งเดียวที่มีคนเดินนำชมพร้อมบรรยายความรู้)
ที่ตรงนี้เป็นพระที่นั่งที่รัชกาลที่ ๖ เคยประทับอยู่จริง วัสดุ ข้าวของเครื่องใช้
ในที่นี้จึงจริงทุกอย่าง อาจจะมีบางอย่างที่ทำขึ้นมาใหม่ เช่นเปียโน
แต่ส่วนมากก็เป็นของจริงๆ หมดเลย เรากับเพื่อนไม่เคยมาที่นี้มาก่อน
ก็เลยตื่นตาตื่นใจกับข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ มีห้องสรง (ห้องน้ำ) ห้องบรรทม
ที่มีเตียงอยู่จริงๆ บางห้องก็ไม่สามารถให้เข้าเยี่ยมได้
มีห้องอาหารห้องหนึ่งที่เบาะเก้าอี้ตัวหนึ่ง จะใช้หนังท้องจระเข้ถึง ๒ ตัว /โห
แล้วในห้องอาหารนั้นก็มีเก้าอี้สิบตัวเลยทีเดียว เขาบอกว่ามีคนทูลกระหม่อมถวาย
จระเข้นี้มาจากฟาร์มที่สมุทรปราการ
จะมีห้องๆ หนึ่ง เป็นห้องไฮไลท์ของที่นี้เลยก็ว่าได้
(คิดเอาเองว่ามันน่าจะเป็นไฮไลท์นะ)
เป็นห้องนั่งเล่นที่พอมองออกไปนอกระเบียงจะเห็นเทวาลัยเคณสร์
และองค์พระปฐมเจดีย์อยู่ในระนาบเดียวกัน อย่างกะภาพวาดเลย
แถมต้นไม้ก็ยังแยกช่องทางให้มองเห็นองค์พระฯ ด้วย
เขาต้องจัดการผังวังมาอย่างดีแน่นอน แต่น่าเสียดายระเบียงนั้น เขากั้นไว้
ไม่ให้เดินเข้าไป แต่มองจากข้างในก็เห็น สวยมากๆ
ที่นี้จะเป็นที่ที่ทุกคนจะพลาดมาก เพราะมันอยู่ไกลพอสมควร
ต้องข้ามสะพานมา เรือนพระธเนศวรนี้จะเป็นเรือนพักสำหรับผู้พิพากษา เป็นเรือน ๑
ชั้น มีห้องใต้หลังคาที่เป็นห้องพระ (ชั้นใต้หลังคาขึ้นไม่ได้) มีสะพานเชื่อมยาว
(ไม่ใช่สะพานแรกที่เดินมานะ)ไปถึงศาลาแปดเหลี่ยมด้วย
รูปทรงเหมือนศาลาแปดเหลี่ยนในมอ มองออกนอกศาลาก็เห็นตุ๊ดตู่นอนอาบแดดอยู่ ๑
ตัวถ้วน ข้างๆ ก็มีสระน้ำที่มี ห่านหรือเป็ดตัวขาวๆ แหวกว่ายเป็นคู่ หวานแหววมาก
และก็มีชุมชุนห่านหรือเป็ดตัวขาวๆ ตั้งรกรากอยู่ ศาลานี้ก็ลมพัดเย็นสบายเช่นเคย
มีเก้าอี้รูทรงแปลก ที่มีที่นั่งและพนักพิงหลัง ที่เหมือนกับราวจับบันไดมากกว่า
พระตำหนักนี้เป็นตึกสีแดง มีอนุสาวรีย์ย่าเหลอยู่ข้างหน้าทางเข้า
การเข้าชมจะไม่มีตู้ให้ฝากของ แต่จะมีถุงสำหรับใส่รองเท้า!? ถุงนี่ให้คืนที่ทางออก (ตอนแรกเอาขวดน้ำใส่
พี่เจ้าหน้าที่บอกไม่ใช่ค่ะ) เป็นตึก ๒ ชั้น ลมเย็น ห้ามถ่ายรูปเช่นเคย มีช่องลม
(หรือเปล่าไม่แน่ใจ เป็นเสาแล้วโปร่งขึ้นไปถึงเพดาน) มีทางที่เหมือนจะพาไปตึกต่อไป
แต่ดันเป็นทางตัน
----------------------------------------------------------สะพานเชื่อม------------------------------------------------
ตรงนี้จะเป็นพื้นไม้ ที่ถ้าเกิดเดินเสียงดัง จะสะเทือนไปถึงชั้นล่าง
ตอนแรกก็ไม่รู้หรอกว่าสะเทือนแค่ไหน พอลงมาชั้นล่างปุ๊บ
แล้วชั้นบนเหลือครอบครัวหนึ่ง ที่มีเด็กเล็ก ด้วยวัยกำลังซน ส้านเท้ามีแรงมาก
เลยเดินกันอย่างวุ่นวาย แสงสะเทือนดังมาถึงข้างล่าง ได้แต่บ่นในใจ เด็กหนอเด็ก////
พอลงมาถึงชั้นล่างพี่เจ้าหน้าที่ก็ปั๊มชื่อให้
แล้วขอดูป้ายพวกเรา เขาบอก "โห จะครบห้าตำหนักแล้ว ปกติเขาเดินกันแค่ ๒ ที่
พวกหนูนี่เก่งมาก เดินจนจะครบเลย" ฟังคำพี่เจ้าหน้าที่เสร็จ
ก็รู้สึกว่าตัวเองคือผู้ชนะอะไรทำนองนั้น คือSurvivor พวกข้าคือผู้พิชิตอะ
/ยืดอกอย่างภาคภูมิใจ
ฟังแล้วก็ฮึด
เดินต่อไปแบบไม่เหนื่อย (หึหึ เหนื่อยมาก เถอะ ปวดเท้าละ)
มาถึงตำหนักสุดท้ายกันแล้ว เป็นเรือนไทยโบราณ มีคู้ฝากของ ถอดรองเท้า
เอาขึ้นได้เฉพาะกุญแจตู้ ทุกอย่างเหมือนบ้านเรือนไทยในละครช่อง7 ตอนเช้าอะ พี่เจ้าหน้าที่บอกเรือนนี้ถ่ายหนังล่าสุดคือ เรื่องสุริโยไท ซึ่งมันก็ตั้งแต่ปี2544อะ นานมากแล้ว
บนเรือยมีต้นจันอยู่ตรงกลาง พอเห็นต้นจัน เพลงกลิ่นจันก็ลอยมาตามสายลม
สักพักก็มีเสียงออดรักษาความปลอดภัยดึงขึ้น ขอบอกว่าเสียงดังและนานมาก
มองลงไปข้างล่างก็ไม่มีอะไร พี่เจ้าหน้าที่ก็เฉยๆ
เลยนั่งเล่นข้างบนก่อนกะให้มันหยุด แต่มันไม่หยุดสักที ก็เลยลงดีกว่า
พูดกันกับเพื่อนว่า "ถ้าเราลงและมันหยุดร้องนะ หื้มม"
สรุปว่าพอพวกเราลงถึงข้างล่างปุ๊บ มันก็หยุดร้องเลย
สงสัยเขาอยากให้เรารีบลงมาสักที5555 พี่เจ้าหน้าที่บอกว่าก็เป็นแบบนี้แหละครับ แต่หนูตกใจนะคะ
ที่สุดท้ายสำหรับการเดินชมวังในวันนี้นั่นก็คือ พระตำหนักทับแก้ว
พระตำหนักทับแก้วเป็นอาคาร
๒ ชั้น เคยเป็นที่ประทับในช่วงฤดูหนาวของรัชกาลที่ ๖
อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของนักเลงฟุตบอลทีมชาติไทย
ภายในอาคารชั้นล่างจะจัดแสดงประวัติของฟุตบอลไทย ตั้งแต่สมัยเริ่มแรกจนถึงปัจจุบัน
แล้วก็มีพี่พนักงานคอยเก็บภาพประทับใจ (แสงแฟลชจากกล้องพี่พนักงานก็ช่างจ้าเสียเหลือเกิน
แสบตาหนูเชียวค่ะ) มีสมุดให้ติชมเสนอคำแนะนำเกี่ยวกับการจัดแสดง
และมีโซนจำหน่ายของที่ระลึกเกี่ยวกับฟุตบอลไทย
เรากับเพื่อนก็มองหานักบอลที่พอจะรู้จักบ้าง
ที่เห็นหน้าคุ้นก็คงจะเป็นโค้ชสิโก้นั่นแหละค่ะ สมัยหนุ่มๆ โค้ชก็หน้าตาดีเหมือนกันนะคะ
ชั้นบนมีเตาผิงของจริง
แต่โบกปูนเอาไว้ป้องกันความเสียหาย เตาผิงนี่มี 2 อันเลยนะคะ แสดงให้เห็นว่าสมัยก่อนต้องหนาวมากแน่ๆ
หนาวแค่ไหนไม่รู้ แต่มีเตาผิงไว้ใช้งาน ก็ต้องหนาวพอสมควรแหละเน้าะ
ไม่น่าเชื่อเลยว่าเมืองไทยจะหนาวอะ เพราะตอนนี้นี่ร้อนมากๆ เลย พี่พนักงานบอกว่า
"สมัยก่อนต้นไม้เยอะไง สมัยนี้มีแต่ตึก"
ก่อนจะกลับเราสองคนก้ยังได้ความรู้อีกว่า ทำไม? มหาวิทยาลัยศิลปากร
วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ถึงเรียกว่าทับแก้ว
คำตอบที่ได้จากพี่เจ้าหน้าที่ที่ตำหนักทับแก้วก็คือ
เพราะสมัยก่อนตึกแรกของมหาวิทยาศิลปากร
ตั้งอยู่ติดพระตำหนักทับแก้ว จึงเรียกกันว่ามหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตทับแก้ว
ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นวิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ อย่างเช่นในปัจจุบัน
ถือเป็นความรู้ใหม่สำหรับวันนี้ พี่เจ้าหน้าที่ยังฝากบอกมาอีกว่า
"เป็นเด็กศิลปากร ต้องมาพระตำหนักทับแก้วนะ"
เป็นบทความที่ดีมาก ได้ความรู้เยอะเลย ขอบคุณคับโผ้มมมม
ตอบลบby อภินัยคนเดิม